Sunday, January 24, 2010

ร่องรอยของใจ

๒๔ มกราคม ๒๕๕๓

เราก็ยังครุ่นคิดอยู่ในเรื่องเดิม เรื่องของการยุติ
ใจนี้มีความหวาดหวั่นซ่อนอยู่และหนุน มันแบ่งออกเป็นสองภาค ซึ่งแต่ละภาคต่างก็มีเหตุและผล
เรานั้นช่างไม่ชอบเจ้าสองภาคที่มาถกกันนี่เลย เราจึงได้แต่ปล่อยเวลาให้ลอยไปดั่งสายน้ำไหล

เรียนไปทำไม ทำไมเราหยุดเรียนไมได้ คือ คำถามที่ก้องอยู่ในใจเสมอมาและตลอดเวลา
ทำไมเราตัดสินใจละวางละทิ้งออกไปจากใจไม่ได้ ทำให้นึกถึงเมื่อสี่ห้าปีก่อนที่ล้มเลิกการแต่งงาน
เป็นความพยายามมาหลายปีมากกว่าจะหลุดออกจากแรงดึงดูุดนี้ได้ก็แทบตายไม่เข็ดหลาบ

นี่ก็มาเรื่องโลกธรรมแปด อันเป็นเรื่อง...ชื่อเสียงและการศึกษา
อยากจะละอยากวาง ก็ทำไม่ได้
อ้อ...นึกออกแล้ว เจ้าความ "อยาก" นี่เองที่ครอบงำเราอยู่...
เราอยากนั่นเอง...แต่เราก็ปล่อยให้มันไหลเลื่อยมาเรื่อยอย่างที่ไม่ลงมือทำอะไร
เพราะอยากปล่อยให้ไปตาม "ใจ" อยาก...

ทุกวันนี้ เราต่อกรแต่กับความอยากและความไม่อยาก
แล้วก็ถูกครอบงำอีกครั้งจาก ความหลง...
หลงไปในความอยากและความไม่อยาก...วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ

ใจนั่นน่ะก็ชอบลอง...ลองอยู่นั่นแหละ
ลองแล้วก็ไม่ก้าวเดิน...
เรานั้นไม่ควรจะลองแล้ว ควรจะก้าวเดินผ่านไปได้แล้ว
จะลองไปถึงไหนกันเนี๊ยะ...รู้เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ
รู้เห็นใจของตนเองแล้วไม่ใช่เหรอ...มันน่าเบื่อหน่ายมากไม่ใช่เหรอ
เราแก้ไขไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ...
จงก้าวเดินผ่านมันไปเถอะ

Tuesday, January 12, 2010

ร่นถอยหรือก้าวเดิน

ตอนนี้...ข้าพเจ้าสับสนและใคร่ครวญ
จะร่นถอยหรือก้าวเดิน...

การร่นถอยกลับไปสู่...ความหนาวเหน็บ
และโดดเดี่ยว แต่หาญกล้าต่อการก้าวเดิน

บทเรียนรู้...เรียนรู้แล้วว่าเรานั้นไม่ถนัดนักที่จะนำพาตนเองไปเช่นนี้
หยุดและพัก...และก้าวเดิน
ไปตามความมุ่งมั่น...ของเธอต่อไปนั้นดีหรือไม่
ฤา...ก้าวเดินไปตามลำพังด้วยความอบอุ่นในใจ...

โลก

โลก...ในสมณะ
และโลก...นอกสมณะ...
ก็ไม่ได้แตกต่างกัน...เพราะต่างยังคงเป็น "โลก" แห่งการเรียนรู้

อันเป็นการเรียนรู้และก้าวเดิน...เพื่อละวาง
โอกาส...ทำให้เราได้เรียนรู้...
โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้...

สำคัญ...ที่ว่า
เราดำรงอยู่ใน "โลก" และทำประโยชน์ต่อโลกนี้มากน้อยเพียงไร
เท่านั้นเอง...

ใจ

เป็นเรื่องที่...ไม่ควรจะทึ่งหรือนิ่งเฉย
แต่ "ใจ" นี้ก็ได้ปรากฏให้เห็นว่า ช่างหมุนเร็วกว่าเดิมยิ่ง
...
ใจที่หมุนเร็ว...ปรากฏมาจากที่ "ใจ" นี้เกิดเป็นความเข้าใจ
อันเป็นความเข้าใจ ต่อ "ความ" ที่ปรากฏ...

จึงเข้าสู่ "ใจ" ที่นิ่งเย็นมากขึ้น

Tuesday, August 11, 2009

ซาบซึ้ง

ค่ำคืนนี้...คือความซาบซึ้งลงใจในรสพระธรรม
ที่พระพุทธองค์ท่านเมตตา...บอกหนทาง
สู่การหลุดพ้น...

น้ำตาแห่งความสุขและปิติที่ได้เกิดและเพื่อไม่มาเกิดอีก
ธรรมชาติทุกอย่างก็เป็นไปดั่งเช่นนั้นเอง...

ขอร่วมเดินทางไป...แห่งเส้นทางก้าวเก่าแก่พร้อมมวลเมฆสีขาว
แห่งมรรควิธี...เพื่อกลับคืนสู่สภาวะแห่งธรรม"ชาติ"

Sunday, July 05, 2009

ภูมิรู้...ภูมิธรรม


เข้าใจแล้วว่า...
"ความ" ในเนื้อที่พยายามสื่อ
ทำไม...ผู้คนจึงไม่เข้าใจ
นั่นน่ะ เพราะขึ้นอยู่กับ...
"ภูมิรู้...ภูมิธรรม"...
ยิ่งละเอียดขึ้น...วงก็จำกัดน้อยลง
เหลือ...ผู้มานั่งล้อมวงเพียงไม่มาก
นี่แหละ คือ ตะแกรงร่อน...อย่างหนึ่ง

Wednesday, July 01, 2009

คือความคิดถึงที่ไม่ติดยึด

นึกถึง... บทเพลงภาวนา NO COMING ,NOGOING
ไม่มีการมาและการจากไป...
ทุกห้วงแห่งลมหายใจเข้าและออก...
ยังตราตรึงอยู่...นั่น คือ พุทธะ
การรู้ตื่น แห่งความเบิกบาน...

เช้ามืด...
แสงแห่งรุ่งอรุณยังไม่สาดส่อง
ความคำนึงปรากฏทันทีที่รู้ตัว
พร้อมลมหายใจเข้าและออก

Thursday, May 07, 2009

ความโกรธ

มีเรื่องราว บุคคล และเหตุการณ์มากมาย
ที่เข้ามาในชีวิต...ทุกเวลา ทุกลมหายใจ
และรากเหง้าแห่งจิตของเรา...
นั้น...พร้อมที่จะโกรธ เสมอ

หากเราไม่เคยได้หยุดฟัง
เสียงความโกรธแห่งภายในแล้ว
ยากที่จะเยียวยา...ได้

พึง...นั่งอยู่เคียงข้าง
"ความโกรธ"...ด้วยความเข้าใจ
และกรุณาด้วยใจที่อ่อนโยน
อย่าได้ลงโทษ "ความโกรธ" ด้วยการสะท้อนออก
ของการกระทำ

พึงนั่งอยู่...อย่างเพื่อน
ที่เข้าใจเพื่อน...มองดูด้วยความเข้าใจ
ในความเจ็บปวดแห่งภาวะโกรธนั้น...

Saturday, April 11, 2009

ข่ายแห่งทฤษฎี

ที่มาภาพ
--------------------------
บทที่ ๕๙
ข่ายแห่งทฤษฎี
---------------
สวนมะม่วงของท่านชีวะกะมีพื้นที่กว้างขวางและสงบร่มรื่น ภายในสวนมีกุฏิหลังเล็กๆ สำหรับภิกษุณีปลูกสร้างกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
เย็นวันหนึ่งภิกษุณีสาวชื่อสุภา ต้องการมาสนทนาปัญหาธรรมกับพระบรมศาสดา เมื่อเสร็จกิจบิณฑบาตรจึงเดินทางกลับสวนมะม่วง
ในระหว่างทางเปลี่ยว มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นฉับพลัน ยืนขวางทางท่านอยู่ ภิกษุณีรู้สึกถึงความไม่ประสงค์ดีของชายหนุ่มคนนี้
จึงกำหนดลมหายใจเพื่อควบคุมสติอารมณ์ให้สงบแจ่มใส ภิกษุณีสุภาจ้องตาชายหนุ่มพร้อมกับกล่าวว่า
...
"ฉันเป็นภิกษุณีผู้เจริญรอยตามมรรคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดหลีกทางเถิด ฉันจะได้เดินกลับสู่สำนักภิกษุณี"
ชายผู้นั้นกล่าวว่า "เธอยังสาวและสวยมากด้วย ทำไมจึงปล่อยชีวิตตัวเองให้เปล่าประโยชน์ด้วยการโกนหัว
และนุ่มห่มผ้าเหลืองเช่นนี้ ทำไมจึงต้องใช้ชีวิตเยี่ยงนักพรตเช่นนี้ ฟังให้ดีนะ แม่สาว
รูปทรงอันน่ารักของเธอควรห่อหุ้มด้วยผ้าสาหรีไหมจากกาสี ทำไมหนอฉันจึงไม่เคยเห็นหญิงงามเช่นเธอมาก่อน
ฉันจะทำให้เธอได้รู้จักกับความสุขทางกาย มากับฉันสิ"
ภิกษุณีสุภายังคงเยือกเย็น "จงอย่าพูดโง่ๆ เช่นนั้นฉันแสวงหาความสุขในชีวิตแห่งความหลุดพ้นและการตรัสรู้
กามคุณทั้ง ๕ มีแต่จะนำไปสู่ความทุกข์ ขอให้ฉันผ่านทางเถิด ฉันจะขอบคุณในความเข้าใจดีของเธอ"
แต่ชายผู้นั้นปฏิเสธ "ดวงตาของเธอช่างงามเสียเหลือเกิน ฉันไม่เคยเห็นดวงตาอันงามเช่นนี้มาก่อน
อย่าคิดว่าฉันโง่พอที่จะปล่อยเธอไป เธอจงมากับฉันเสียโดยดี"
ชายผู้นั้นตรงเข้าฉุดภิกษุณีสุภา แต่นางก้าวหลบทันเสียก่อน แล้วกล่าวว่า
...
"โปรดอย่าแตะต้องตัวฉัน เธอต้องไม่ล่วงละเมิดต่อภิกษุณี
เพราะฉันเหนื่อยหน่ายต่อชีวิตที่หนักอึ้งด้วยความอยากและความเกลียดชัง
ฉันได้เลือกวิถีชีวิตแห่งการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เธอบอกว่าดวงตาของฉันงดงาม
ดีล่ะฉันจะควักดวงตาคู่นี้ให้เธอ ยอมตาบอดเสียยังดีกว่ายอมให้เธอย่ำยี"
เสียงของภิกษุณีสุภาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
...
ชายผู้นั้นถึงกับชะงัก เขารู้ว่านางภิกษุณีสามารถทำได้อย่างที่พูด
เขาก้าวถอยหลัง...
ภิกษุณีสุภากล่าวสืบไปว่า
...
"จงอย่าให้ตัณหาเป็นเหตุให้เธอก่ออาชญากรรม
เธอไม่รู้ดอกหรือว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงออกกฏหมายว่า
หากผู้ใดทำร้าย สมาชิกสงฆ์ของพระพุทธเจ้า
ผู้นั้นจะต้องได้รับโทษอย่างสาหัส
หากเธอไม่ประพฤติตัวให้เหมาะสม
หากเธอทำลายพรหมจรรย์หรือทำลายชีวิตของฉัน
เธอจะถูกจับลงทัณฑ์"
ทันใดนั้น...
ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัว เขาเห็นแล้วว่าตัณหาอันมืดบอด
สามารถนำไปสู่ความทุกข์ทรมาณได้
เขาหลีกทางให้ภิกษุณีเดินผ่านไปแล้วกล่าวตามหลังนางว่า
...
"โปรดยกโทษให้ฉันเถิดท่านภิกษุณี ข้าพเจ้าหวังว่า
ท่านจะได้บรรลุจุดหมายในทางธรรมของท่าน"
-----------------------------
จาก คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ เล่ม๓
หน้า ๒๙-๓๑